Mercedes-Benz CLS-Class จัดว่าเป็นรถยนต์หนึ่งรุ่นที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก รวมถึงยังเป็นรถที่มีเอกลักษณ์ความเฉพาะตัวสูง โดยปัจจุบันมียอดจำหน่ายสะสมอยู่ที่ 450,000 คัน นับตั้งแต่เริ่มออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2004 และประเทศที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดเลยก็คือ ประเทศจีน, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี
เมื่อขึ้นชื่อว่า Mercedes-Benz แล้วนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความหรูหรา และความลักชัวรี่ที่ลงตัว มากไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ อย่างเช่น E-Class เรียกได้ว่า CLS หรูหรา และครบครันมากกว่า
การออกแบบดีไซน์ภายในสุดล้ำที่ผสานเข้ากับวัสดุระดับพรีเมี่ยมทำให้ภายในของ CLS นั้นเต็มไปด้วยความหรูหรา และความทันสมัยเปรียบเสมือนอยู่ในยานอวกาศ
Mercedes-Benz CLS มากับเครื่องยนต์ 2 ประเภทระหว่างดีเซลกับเบนซินที่อัตราเร่งตอบสนองดี และขับสนุกทั้งคู่ รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซลยังช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีอีกด้วย
ช่วงล่างของ CLS ถูกพัฒนา และออกแบบมาเป็นอย่างดีทำให้ขับขี่สนุกเกาะถนน และให้ความรู้สึกเหมือนขับรถสปอร์ต
ด้วยที่ CLS เป็นรถตัวถังคูเป้สี่ประตูมีการสโลปหลังคาลงมาทำให้เบาะหลัง หรือพื้นที่ด้านหลังนั้นไม่กว้างขวาง และ พื้นที่ Head room มีน้อย
CLS มาพร้อมกับช่วงล่างที่ค่อนข้างสปอร์ตซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์บางคนที่ชอบความนุ่มนวลแบบเต็มขั้น
สรุปราคามือสอง
CLS-Class จากค่ายดาว 3 แฉก มาพร้อมความหรูหราผสานความสปอร์ตดูลงตัวอย่างที่สุด เหมาะสำหรับลุคผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง หรือจะเป็นวัยทำงานที่ต้องการเพิ่มความปราดเปรียว โฉบเฉี่ยวรอบคัน และความคล่องตัวในเมืองหลวง ราคาไม่ถูก แต่ก็นับว่าคุ้มค่า และเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการคว้ายนตรกรรมรุ่นนี้มาครอบครอง หมายเหตุ - *ราคาเริ่มต้น อ้างอิงจาก Kaidee Auto รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นปี 2004
Mercedes-Benz CLS-Class รุ่นแรกรหัส C219 ถูกเผยโฉมครั้งแรกที่งาน Frankfurt Motor Show ในปี 2003 ก่อนที่จะผลิตและออกวางจำหน่ายในปี 2004 เป็นรถยนต์คูเป้ 4 ประตู ขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ มีบานประตูแบบไร้เสากรอบ
CLS-Class ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุดช่องว่างทางการตลาดตรงกลางระหว่างรถยนต์ครอบครัวขนาดนอดนิยมอย่าง E-Class และ Saloon โดย CLS-Class จึงถูกสร้างขึ้นมาสำหรับตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหาถึงความแตกต่างที่มีความต้องการอยากได้ความหรูหรากว่า E-Class ที่เน้นขับขี่ง่ายในรูปแบบและขนาดที่กำลังพอดี
ในส่วนของเครื่องยนต์มาพร้อมขุมกำลังขนาด V6 272 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7G-Tronic พร้อมการตกแต่งภายในที่หรูหราและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกไว้อย่างมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นเปิดตัวได้อย่างประสบความสำเร็จและปูทางสู่เจเนอเรชันค่อไปไว้ได้เป็นอย่างดี
รุ่นปี 2010
ต่อมากับเจเนอเรชันที่ 2 ของ CLS-Class ที่มีรหัส C218 และมาพร้อมกับการเปลี่ยนโฉมใหม่ที่ดูรูปทรงคล้ายกล้วยหอมที่มีความโค้งมนดูลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม โดนมีลักษณะความคล้าย E-Class แต่มีเรือนร่างที่แบนและโค้งมนมากกว่า เรียกได้ว่านี่คือรถสปอร์ตที่มีการออกแบบภาพลักษณ์ให้แตกต่างออกไปจากเดิม
มาดูกันที่ห้องโดยสารภายในที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ หนังสังเคราะห์ พวงมาลัยหุ้มหนังแท้แบบ 3 ก้าน ที่ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift ที่มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง จอภาพ และรับสายโทรศัพท์ เบาะคู่หน้าไฟฟ้าทีมีหน่วยความจำ 3 ระดับ ตัวเบาะหนังแท้สวยงามตัดเย็บอย่างประณีต รวมถึงงานหนังภายในของรุ่นนี้มี่ต้องบอกเลยว่างานดีส่งผลให้ดูมีความพรีเมียมหรูหราทุกมุมมอง
มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 2134 ซีซี ให้กำลัง 204 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 5000 นิวตันเมตรที่ 1,600-1,800 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-Tronic Plus) ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 242 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมโหมดการขับขี่ 3 แบบ ECO ประหยัดพลังงาน, S โหมดสปอร์ต และ M ที่สามรถเปลี่ยนเกียร์ที่แป้น Paddle Shift ได้ตามความต้องการ
รุ่นปี 2018
มาถึงรุ่นปัจจุบันกับเจเนอเรชันที่ 3 รหัส C257 ที่ยังคงชูจุดเด่นในเรื่องของความพรีเมียมกับดีไซน์ภายนอกที่สะดุดตากับไฟหน้าแบบ Multibeam กระจังหน้าแบบ Diamond Grille พร้อมช่อง Air-intake ด้านล่างที่ช่วยทำให้รถดูมีมิติ เสริมด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG
ต่อมาที่ภายในตัวรถมาพร้อม Concept ที่ว่าด้วย Executive Lounge ให้ความรู้สึกสะดวกสบาย หรูหรา และใส่เทคโนโลยีที่ให้ความสะดวกมาอย่าครบครัน เช่น Digital Widescreen Cockpit แบบสองจอต่อกัน, Head-Up Display แสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า, สร้างบรรยากาศภายในด้วย Premium Ambiet Lighting แบบ 64 สี, หลังคาซันรูฟที่สามารถเปิดและปิดด้วยระบบไฟฟ้า หรือระบบเครื่องเสียงจาก Burmester ที่ให้เสียงเหมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์กันเลยทีเดียว
ในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM645 แบบแถวเรียง 4 สูบ พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ขนาด 1950 ซีซี แรงม้าสูงสุด 245 ที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลา 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่านอกจากความหรูหราของตัวรถแล้วยังมอบความสปอร์ตในการขับขี่ที่เร้าใจได้อีกด้วย
Mercedes-Benz CLS-Class เปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ทุกเจเนอเรชัน
บทสรุป Mercedes-Benz CLS-Class
Mercedes-Benz CLS-Class จัดว่าเป็นรถยนต์สไตล์คูเป้ที่มีความสปอร์ตอย่างเปี่ยมล้น ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวรถที่มีความสปอร์ตมาตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ผสมผสานกับขุมพลังเครื่องยนต์ที่ต้องบอกว่าแรงเร้าใจกันอย่างแน่นอน รวมไปถึงระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่ล้ำสมัยช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ที่ง่ายยิ่งขึ้น
ยนตรกรรมรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้บริหารยุคใหม่ที่ต้องการความเงียบขรึม แต่แฝงไปด้วยความดุดันต้อง Mercedes-Benz CLS-Class เท่านั้น
