ถ้าหากจะพูดถึงรถยนต์สมรรถนะดีเยี่ยมที่มาพร้อมกับความหรูหราก็คงจะหนีไม่พ้นค่ายดาวสามแฉกอย่าง Mercedes-Benz ที่สร้างมาตรฐานความเป็นเลิศมาอย่างยาวนาน ออกแบบรุ่นรถยนต์มาแล้วนับไม่ถ้วน และหนึ่งในรุ่นยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือ Mercedes-Benz A-Class
โดยทาง Mercedes-Benz ได้สร้างสรรค์รถยนต์แบบคอมแพ็คคาร์ที่มีชื่อว่ารุ่น A-Class เพื่อจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความคล่องตัวและมีความเท่ที่ผสานความเรียบหรูในแบบฉบับของ Mercedes-Benz ได้อย่างลงตัว
Mercedes Benz A-Class มีดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้ภาพลักษณ์ดูเร้าใจขึ้น อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมกับรูปทรงแบบกล่องลดลายเส้น ดูเรียบหรู คงความสปอร์ต อย่างลงตัว
มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบ MBUX ซึ่งเป็น AI ช่วยให้ความสะดวกแก่ผู้ขับขี่ อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ และ ปรับการทำงานให้เข้ากับผู้ขับได้อีกด้วย
รุ่น A-Class ให้อัตราเฉลี่ยในการใช้พลังงานอยู่ที่ 17.5 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าดีมาก นอกจากนี้ยังสามารถลดมลพิษในการขับขี่ได้อีกด้วย
แม้ว่าตัวเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงอยู่ที่ 1.3 ลิตร แต่ Mercedes-Benz A-Class กลับมีสมรรถนะ และ ประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังพร้อมมากับเทอร์โบชาร์จ สามารถทำพลังแรงม้าได้ถึง 163 แรงม้า ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา
แม้ว่ารุ่น A-Class จะเป็นรุ่นเล็กสุด แต่ทางค่ายยังคงใช้วัสดุพรีระดับเมียมมาตรฐาน Mercedes-Benz เช่น ในแพคเกจ AMG จะได้พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa, เบานั่งแบบสปอร์ตฟหุ้มหนังไมโครไฟเบอร์ และ อีกมากมาย
พวงมาลัยมากับน้ำหนักที่พอดี เบาพอให้สามารถหมุนสุดได้โดยไม่ต้องออกแรง และ หนักพอให้รู้สึกว่าแฮนลิ่งหนักแน่น กระชับ ทำให้ Mercedes Benz A-Class มีความคล่อง ตอบสนองได้ไว้ แม้จะอยู่ในโหมด Comfort
Mercedes Benz A-Class ในไทยมีจำหน่ายแค่รุ่น ‘A200 Progressive’ และ ‘AMG Dynamic’ เท่านั้น ซึ่งมีราคาห่างกันถึง 169,000 บาท ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าตัวเลือกนั้นน้อยไป
เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นจากค่ายเดียวกันพบว่ารุ่น A-Class มีระบบความปลอดภัยน้อย ขาดระบบป้องกันรถออกนอกเส้นทาง และ ระบบควบคุมความเร็ว ซึ่งเป็นระบบที่มีให้เห็นแม้ในรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นตัวท็อป
แม้ว่า Mercedes Benz จะเป็นค่ายที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย และ ความทันสมัยของสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ในรุ่น A-Class ยังคงให้ผู้ขับขี่ปรับเบาะด้วยมือ อีกทั้งยังขาดฟังก์ชั่น Keyless-Go ที่ช่วยสร้างความสะดวกในการสตาร์ทรถอีกด้วย
สรุปราคามือสอง
สำหรับราคามือสองของ Mercedes-Benz A-Class ถ้าพูดถึงรุ่นปีเก่าๆ ก็ต้องบอกเลยว่ามีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูง สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย แต่ดีไซน์ของโฉมเก่าจะยังเป็นตัวท้ายที่ตั้งฉากสูง ซึ่งในโฉมใหม่ที่เป็นทรงสปอร์ตก็มีราคาเริ่มต้นที่ถือว่าโอเคเลยทีเดียว เหมาะสำหรับวัยรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังมองหารถขนาดเล็กสักคันไว้ขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว หมายเหตุ - *ราคาเริ่มต้น อ้างอิงจาก Kaidee Auto รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นปี 1997
มาเริ่มต้นกันที่เจเนอเรชันแรกในปี 1997 กับรหัส W168 ที่ถูกเปิดตัวขึ้นครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 1997 ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ชูแนวคิดใหม่ในการทำรถยนต์นั่งสุดหรูสู่สายตาคนทั่วโลก
โดยคนไทยจะนินมเรียกรุ่นนี้ว่า “Benz Jazz” เพราะด้วยดีไซน์การออกแบบรูปทรงที่มีหน้าสั่นและท้ายสูงแบบ 5 ประตู ดูทันสมัยและถือว่าล้ำมากสำหรับในตอนนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยโดนใจผู้ใช้งานสักเท่าไหร่นัก แต่เชื่อหรือไม่ว่ากลับมียอดขายวางจำหน่ายทั่วโลกไปกว่า 1.1 ล้านคันเลยทีเดียว
รุ่นปี 2004
มาต่อกันที่เจเนอเรชันที่ 2 ในปี 2004 กับรหัส W169 ที่ในเรื่องของดีไซน์การออกแบบนั้นยังไม่ได้ถูกปรับโฉมไปจากเดิมเท่าไหร่ ยังคงเป็นรถยนต์ 5 ประตูเหมือนดังเดิม และลดความเป็นเหลี่ยมของตัวรถ แล้วเพิ่งความโค้งมนให้กับมุมแต่ละด้าน ส่งผลทำให้ตัวรถดูมีมิติมากขึ้น รวมถึงยังดูทันสมัยและน่าขับขี่มากกว่าเดิม ในส่วนของเครื่องยนต์มาพร้อมขุมกำลัง 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และที่สำคัญยังประหยัดน้ำมันได้ดีอีกด้วย
รุ่นปี 2012
สำหรับเจเนอเรชันที่ 3 กับรหัส W176 ถูกเผยโฉมครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2012 โดยสองรุ่นแรกก่อนหน้านี้ทางค่ายได้ออกแบบมาเพื่อในการขับขี่ที่ง่ายเหมาะกับการขับไปจ่ายตลาดหรือใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว แต่โฉมนี้ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดให้ดูมีความทันสมัย โฉบเฉี่ยวในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู และยังคงความหรูหราไว้อย่างเดิม โดยมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แรงม้าสูงสุด 208 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยีแบบจัดเต็ม
รุ่นปี 2018
ปิดท้ายกันที่เจเนอเรชันที่ 4 รหัส W177 ที่ยังคงให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับความเป็นสปอร์ตและความหรูหราในรูปแบบของแฮทช์แบ็ก 5 ประตูไว้เหมือนเดิม แต่โฉมนี้ต้องบอกเลยว่าสวยงามและดูทันสมัยมากๆ เพราะด้วยการปรับโฉมใหม่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่อย่าง C, E และ S-Class กับเส้นสายของตัวรถและความโค้งมนที่ลงตัวเหลือเกิน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าที่เรียกว่า Diamond Grille รับเข้ากับไฟหน้า Multibeam LED ส่วนไฟท้ายที่ดูมีความเรียวยาวมากขึ้นที่ชวนให้น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยการตกแต่งที่หรูหรา มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในการขับขี่ เช่น แผงหน้าปัดและมาตรวัดสุดล้ำ หน้าจอ LCD หรือแผงระบบควบคุมความบันเทิงๆ ทีเรียกได้ว่าจัดเต็ม
นอกจากนี้ในส่วนของเครื่องยนต์ยังมี 2 ทางเลือก คือ เบนซิน 4 สูบ บล็อกใหม่ 1,400 ซีซี เทอร์โบ 160 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ และรุ่น 2,000 ซีซี เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 221 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 4 สูบ 1,500 ซีซี กำลังสูงสุด 113 แรงม้า พร้อมทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยระบบควบคุมการปล่อยไอเสียเพื่อให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกในยุคปัจจุบัน
Mercedes-Benz A-Class เปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ทุกเจเนอเรชัน
บทสรุป Mercedes-Benz A-Class
Mercedes-Benz A-Class รถยนต์คอมแพ็คคาร์ หรือรถสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ผ่านการเดินทางมาแล้วกว่า 4 เจเนอเรชัน ซึ่งอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จหรือได้รับความนิยมเท่าไหร่นักถ้าเทียบกับรุ่นพี่ในค่าย แต่สำหรับคนที่เป็นเจ้าของและเลือกซื้อมาขับใช้งานแล้วก็ต้องบอกเลยว่าควจะถูกใจไม่ใช่น้อย
เพราะด้วยความตั้งใจของค่ายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในเมืองที่เน้นความคล่องตัว เครื่องยนต์ที่ไม่แรงมาก จึงเหมาะกับสาวๆ หรือคุณแม่ที่ใช้รถสัญจรไปในชีวิตประจำวัน และยังต้องการความหรูหราที่ค่ายดาวสามแฉกจากเยอรมันยังคงรักษาเอกลักษณ์นี้ไว้ไม่เคยเปลี่ยน