รถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่งรุ่นเอกลักษณ์จากแบรนด์รถสัญชาติอเมริกันอย่าง Ford ที่เหมาะมากทั้งการเป็นรถสำหรับครอบครัวและรถสำหรับขับระยะทางไกล เพราะตัวรถมีพื้นห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย ขับสนุก ปลอดภัยมั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ด้วยเครื่องยนต์ที่ในรุ่นปัจจุบันมาพร้อมเทอร์โบและเทอร์โบคู่ โดยรวมของ Ford Everest นั้นพัฒนามาค่อนข้างมาก โดย Ford Everest เริ่มต้นรุ่นแรกตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2003 ที่เริ่มแรกอาจดูคล้ายรถกระบะ และพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงเจนที่ 3 ของรุ่นที่มีดีไซน์ เครื่องยนต์และฟังก์ชันที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน
ถึงแม้จะไม่ได้มีความโดดเด่นมากเท่าไรนัก แต่ก็มีการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูดีตั้งแต่กระจังหน้าไปจนถึงไฟท้าย
ไม่ว่าจะเป็นประตูท้ายระบบไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะ หน้าจอระบบสัมผัส ช่องใช่แผ่นซีดี การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย การรองรับ Apple Carplay/Android Auto รวมไปถึงระบบสั่งงานรถยนต์ Ford Everest ด้วยเสียง
ด้วยระบบตรวจจับรถและคนเดินถนนด้านหน้า ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ กล้องด้านหน้ารถ และระบบตรวจจับลมยางรถยนต์
แบ่งเป็น 3 แถวจำนวน 7 ที่นั่ง สามารถบรรจุผู้โดยสารและสิ่งของได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีระบบพับเบาะสำหรับแถวสุดท้ายอีกด้วย
ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 Bi-Turbo กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
เพราะมีการทำงานล้อระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ผู้ขับขี่สามารถเข้าใจง่าย
เป็นบางครั้งขณะขับขี่ รถยนต์ Ford Everest
ถ้าหากรถมีการเร่งความเร็ว ผู้ใช้งานอาจจำเป็นต้องลดความเร็วลง
เพราะมีตัวถังขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 9-12 กิโลเมตรต่อลิตร
สรุปราคามือสอง
Ford Everest ถือเป็นรถยนต์รุ่นหนึ่งที่ราคามือสองไม่ทิ้งห่างจากมือหนึ่งมาก อยู่ที่ประมาณ 70-80% โดยในรุ่นที่เป็นเจเนอเรชันก่อนหน้าจะมีดีไซน์และเครื่องยนต์ที่ต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งจะเหมาะกับการใช้งานและความต้องการของแต่ละคน หมายเหตุ - *ราคาเริ่มต้น อ้างอิงจาก Kaidee Auto รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นปี 2003
เจเนอเรชันแรกของ Ford Everest ที่มาในสไตล์รถยนต์ PPV ขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ดีไซน์ตัวถังและโครงสร้างมีพื้นฐานต่อยอดมาจากกระบะ Ford Ranger โดย Ford Everest เจนแรกนี้มาในเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร การขับเคลื่อนมีทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กว้างขวางให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารนั่งได้อย่างสบาย
รุ่นปี 2007
หลังจาก Mitsubishi ได้พัฒนาและออก Pajero Sport มา ด้าน Ford ก็ไม่น้อยหน้าพัฒนา Ford Everest ทั้งด้านดีไซน์ที่ปรับใหม่บริเวณไฟด้านหน้า ขอบข้างรถ และหลังคาที่ยาวขึ้น ภายในห้องโดยสารปรับให้มีพื้นที่มากขึ้น สามารถพับเก็บเบาะหลังได้ในสัดส่วน 60/40 โดยเบาะที่นั่งหลังสุดจะเป็นเบาะตัวเดียวกันช่วยให้นั่งได้สบายขึ้น ส่วนเรื่องเครื่องยนต์และสมรรถนะต่าง ๆ ยังคงคล้ายเดิม
รุ่นปี 2015
การปรับเปลี่ยนแบบ Model Change ของ Ford Everest เกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 2015 ที่ปรับให้ตัวรถมีความทันยุคทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้านดีไซน์ถูกปรับใหม่ทั้งคันให้ดูมีความสปอร์ตและแข็งแกร่ง ฟังก์ชันการใช้งานภายในรถมีเพิ่มมากขึ้นอย่าง Apple Car Play หรือ Andriod Auto โดยในครั้งนี้ที่นั่งใน Ford Everest รุ่นเริ่มต้นจะมี 5 ที่นั่งส่วนในเกรดที่สูงขึ้นจะมี 7 ที่นั่ง ส่วนเครื่องยนต์จะมีให้เลือกทั้ง 2.0 ลิตร Eco Boost, 2.2 ลิตร TDCI และ 3.2 ลิตรเทอร์โบดีเซล
รุ่นปี 2021
Ford Everest ในปี 2021 ยังจัดอยู่ในเจเนอเรชันที่สาม ด้านดีไซน์มีการอัปเดตอย่างกระจังหน้าที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น เพิ่มขนาดล้ออัลลอยเป็นขนาด 18 นิ้ว รวมถึงสเปคที่ถูกอัปเกรต อย่างเครื่องยนต์ใน Ford Everest รุ่นนี้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ที่มีให้เลือกแบบ 2.0L Turbo กำลังสูงสุด 180 แรงม้าและ 2.0L Bi-Turbo กำลังสูงสุด 213 แรงม้า โดยเกียร์จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะทั้งสองเครื่องยนต์
ด้านฟังก์ชันต่างๆก็มีทั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบกุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และยังมีหลังคาไฟฟ้า ระบบประตูไฟฟ้าแบบแอนด์ฟรี ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน พร้อมระบบแผนที่นำทาง ซึ่งฟังก์ชันส่วนใหญ่จะมีให้เลือกใช้มากขึ้นในเกรด Titamiun+ ขึ้นไป
Ford Everest เปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ทุกเจเนอเรชัน
บทสรุป Ford Everest
ตลอดสิบกว่าปีที่ Ford Everest ถูกพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ Ford Everest กลายเป็นรถ PPV ยอดนิยมจนติดตลาดรุ่นหนึ่ง ด้วยความทนทาน และเครื่องยนต์ที่แรง ทำให้ขับลุยไปได้ทุกที่ แถมยังมีพื้นที่มากพอที่พาครอบครัวหรือพกพาสิ่งของไปด้วยได้ พร้อมทั้งฟังก์ชันต่างๆที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงตอบโจทย์มากๆสำหรับใครที่มองหารถสำหรับครอบครัว หรือสายเดินทางไกลชอบขับเที่ยวต่างัจงหวัด Ford Everest ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างดีทีเดียว