กว่าหลายสิบปีที่ Toyota Corolla ทำตลาดมาทั้งทั่วโลกและในประเทศไทยเอง โดยเริ่มแรกของ Toyota Corolla เป็นรถเล็กสองประตู 5 ที่นั่งที่มีเครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ต่อมาจึงเริ่มพัฒนามาเป็นรถซีดาน 4 ประตู เครื่องยนต์ 1.5 และ 1.3 ลิตรอย่างในปัจจุบัน และถ้าหากนับดูแล้วก็ทำตลาดมายาวนานกว่าสิบเอ็ดเจเนอเรชันเนอเรชัน ด้วยราคาที่ประหยัดและพื้นที่ภายในที่เพียงพอต่อการขับขี่ในครอบครัวเล็กๆหรือโดยสารในจำนวนคนที่ไม่มาก จึงทำให้รุ่นนี้เป็นที่นิยมและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆในรถราคาประหยัดที่คุ้มค่าต่อการใช้งานอยู่เสมอ
Toyota Corolla เป็นรถยนต์ขนาดกะทัดรัดที่ผลิตโดย Toyota ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1966 เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 1974 และผลิตในกว่า 40 ประเทศ รถยนต์โตโยต้า Corolla ขึ้นชื่อในด้านประสิทธิภาพเครื่องยนต์และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง รวมทั้งยังได้รับการยกย่องในด้านคุณสมบัติด้านความปลอดภัย การันตีด้วยรางวัลมากมาย
ปัจจุบัน Toyota Corolla ได้พัฒนายานยนต์ให้ทันสมัย ประสิทธิภาพดีขึ้น เพิ่มทางเลือกให้กับผู็ขับขี่ด้วยสไตล์ตัวถังที่หลากหลาย ทั้งแบบซีดาน, แฮทช์แบ็ค และสเตชั่นแวกอน โดยเครื่องยนต์ของโคโรลล่านั้นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ และมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือ CVT
โคโรลล่าได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนานในด้านการเป็นรถยนต์ที่ประหยัดและพึ่งพาได้มาตั้งแต่ในรุ่นแรก ๆ จนถึงรุ่นล่าสุด ห้องโดยสารภายในมีความกว้างขวางสะดวกสบาย โครงสร้างรถยนต์ที่มีความทนทาน แข็งแกร่ง สมรรถนะดีเยี่ยม มีความน่าเชื่อถือและราคาไม่แพง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถที่จะใช้งานได้ยาวนานหลายปี และที่สำคัญ ยังโดดเด่นในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับคนที่กำลังมองหารถยนต์ดี ๆ ในราคาประหยัด
สเปครถยนต์ Toyota Corolla
- เครื่องยนต์ 1.6L I-4 DOHC 16-Valve
- เกียร์ ธรรมดา 5 สปีด
- กำลัง 132 แรงม้า @ 6000 รอบต่อนาที
- แรงบิด 128 lb-ft @ 4400 rpm
- ความเร็วสูงสุด 108 ไมล์ต่อชั่วโมง
- เครื่องยนต์ 3.5L V6 DOHC 24-Valve
- เกียร์ อัตโนมัติ 5 สปีด
ข้อดีและข้อเสีย Toyota Corolla
ข้อดี
- ด้านความน่าเชื่อถือ - เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นรถที่เชื่อถือได้ มันถูกสร้างขึ้นมาให้คงทนและไม่ค่อยพบปัญหาขณะใช้งาน
- ด้านประสิทธิภาพ - โคโรลลาเป็นรถยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพมาก ประหยัดน้ำมันได้มาก ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าน้ำมัน
- ความคุ้มค่า - Toyota Corolla เป็นรถยนต์ที่มีราคาไม่แพงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
ข้อเสีย
- พละกำลัง - Corolla ไม่ใช่รถที่แรงมาก และอาจจะเฉื่อยเกินไปสำหรับคนที่ชื่นชอบความเร็ว
- ไม่มีคุณสมบัติที่โดดเด่น - โคโรลลาเป็นรถที่มีลักษณะธรรมดามาก ไม่ได้มีคุณสมบัติที่พิเศษหรือล้ำสมัยมากมาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Toyota Corolla
Q: Toyota Corolla ประเภทต่าง ๆ มีอะไรบ้าง?
A: Toyota Corolla รุ่นล่าสุดคือรุ่นที่ 12 ซึ่งเปิดตัวในปี 2018 วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน และรุ่นที่ 13 กำลังจะเปิดตัวในปี 2023 ที่จะถึงนี้ (สิงหาคม, 2022)
Q: Toyota Corolla มีราคาเริ่มต้นเท่าใด?
A: รถยนต์ Toyota Corolla มีราคาเริ่มต้นที่ 989,000 บาท
Q: Toyota Corolla เริ่มผลิตมานานแค่ไหนแล้ว?
A: รถยนต์ Toyota Corolla เริ่มต้นผลิตมาตั้งแต่ปี 1966 จนถึงปัจจุบัน
Q: ชื่ออย่างเป็นทางการของ Toyota Corolla คืออะไร?
A: ชื่ออย่างเป็นทางการของ Toyota Corolla คือ E170
สรุปราคามือสอง
ในตลาดเมืองไทย Toyota Corolla ถูกพัฒนาต่อยอดเป็นทั้ง Corolla Altis และ Corolla Cross แต่ Toyota Corolla ในเจเนอเรชันเนอเรชันเก่าเองยังคงมีมือสองอยู่ในตลาดรถอยู่มากมาย ซึ่งความคลาสสิคต่างๆนั้นยังคงเป็นที่ถูกใจของนักขับอีกมากหน้าหลายตา หมายเหตุ - *ราคาเริ่มต้น อ้างอิงจาก Kaidee Auto รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นปี 1966
จุดเริ่มต้นของ Toyota Corolla เกิดขึ้นเมื่อปี 1966 ที่ดีไซน์ออกมาเพื่อการเป็นรถตลาดราคาประหยัดที่ใช้สำหรับครอบครัวหรือขับเองลุยเดี่ยวได้ โดยรุ่นแรกนี้มาในรูปแบบ Coupe 2 ประตู เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 59 แรงม้า ที่ถือว่าแรงกว่าคู่แข่งหลายรุ่นในช่วงยุคนั้น ราคาที่เปิดตัวมาถือว่าจับต้องได้ โดยที่เครื่องยนต์ต่างๆยังมีสมรรถนะที่สามารถขับขี่ได้อย่างดี
รุ่นปี 1983
หลังจากที่ Toyota Corolla ได้ถูกเปิดตัวและนำหน้ารถยนต์สำหรับครอบครัวใน Segment เดียวกันของแบรนด์อื่นมา ในเจเนอเรชันเนอเรชันถัดมานี้โตโยต้าตั้งใจที่จะทำให้ Toyota Corolla ติดตลาดและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงปรับดีไซน์ให้ตัวรถมีขนาดที่ใหญ่ถึงจากเดิม ในเจเนอเรชันนที่ 2 ก็ปรับให้มีความกว้าง นั่งสบายขึ้น โดยเจเนอเรชันน 2 นี้มาในเครื่องยนต์ K-Series 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 67 แรงม้าและ T- Series 1.4 ลิตร กำลังสูงสุด 85 แรงม้า มีทั้งแบบ Coupe 2 ประตูและซีดาน 4 ประตู
ในเจเนอเรชันนที่ 3 ของ Toyota Corolla โตโยต้ามีเป้าหมายที่จะดึงฐานลูกค้าใหม่ๆให้เข้ามามากยิ่งขึ้น และปรับดีไซน์ภายในให้มีคุณภาพ และเพิ่มฟังก์ชันต่างๆในตัวรถให้มากขึ้น โดยในเจเนอเรชันนนี้มีเครื่องยนต์ให้เลือกกันถึง 4 แบบ นั่นคือ เครื่องยนต์ 3K-H 1.2 ลิตร เครื่องยนต์ T-Series 1.4 ลิตร เครื่องยนต์ 2T 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์ 2T-G 1.5 ลิตร ที่มาจากรุ่นพิเศษอย่าง Corolla Levin เรื่องความปลอดภัยก็ถูกเพิ่มเติม อย่างการออกแบบโครงสร้างรถให้รองรับการกระแทกได้ดียิ่งขึ้น ตัวประตูด้านข้างมีความหนามากขึ้น และเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุดก็ถูกปรับให้มีในทุกรุ่นย่อย
ด้วยยอดขายที่ไม่สู้ดีนักของ Toyota Corolla ในเจเนอเรชันนที่ 3 บวกกับวิกฤตด้านน้ำมันที่เกิดขึ้นจากการใช้รถที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้โตโยต้ารีบพัฒนา Toyota Corolla ในเจเนอเรชันนที่ 4 ออกมาในปี 1979 ที่ปรับให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น แต่ยังคงจุดเด่นด้านราคาประหยัดเช่นเคย พร้อมปรับดีไซน์ใหม่ให้ตัวรถมี Aerodynamic มากขึ้นและมาในเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร เครื่องยนต์ 3A-U 1.5 ลิตรและเครื่องยนต์ 1C 1.8 ลิตร จนสุดท้ายในเจเนอเรชันน 4 นี้ได้รับความนิยมและมียอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
รุ่นปี 2000
เมื่อ Toyota Corolla ในเจเนอเรชันนที่ 4 ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถือเป็นการฟื้นตัวหลังจากเจเนอเรชันนที่ 3 ในปี 1983 โตโยต้าก็ได้รีดีไซน์อีกครั้งและเปิดตัว Toyota Corolla ในเจเนอเรชันนที่ 5 โดยมีเป้ามหมายในการดึงกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมมาในการขับเคลื่อนล้อหน้า และเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ นั่นคือ เครื่องยนต์ 2A-LU 1.3 ลิตร เครื่องยนต์ 3A-LU 1.5 ลิตร และเครื่องยนต์ 4A-ELU 1.6 ลิตร
โดยเครื่องยนต์ 2A และ 3A ถูกพัฒนาให้มีสมรรถนะที่ดีกว่าและประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยให้กำลังสูงสุดที่ 73 แรงม้าและ 82 แรงม้าตามลำดับ ส่วนเครื่องยนต์ 4A-ELU เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่พัฒนามาพร้อมใส่หัดฉีดน้ำมันอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบ TCCS ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้น และส่งกำลังได้สูงสุดถึง 99 แรงม้า
ต่อมาในเจเนอเรชันนที่ 6 ของ Toyota Corolla (ปี 1987) จะเน้นปรับด้าน Performance และดีไซน์ โดยหลักๆแล้วเครื่องยนต์ยังคงมีให้เลือกคล้ายเดิม แต่ในครั้งนี้มีการติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาด้วย พร้อมปรับให้ภายในห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดีมากยิ่งขึ้น และในเจเนอเรชันนที่ 7 Toyota Corolla ก็ได้กลายเป็นรถยอดนิยมและมียอดขายไต่ถึงเป้าได้เร็วที่สุดในเวลานั้น
โดยเจเนอเรชันนที่ 7 นี้ จะเน้นให้รถมีความใหญ่ขึ้น เร็วขึ้นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยในครั้งนี้เครื่องยนต์ 1.3 ลิตร มีกำลังสูงสุด 87 แรงม้าจากเดิม เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 113 แรงม้า และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า
และอีกครั้งสำหรับ Toyota Corolla เจเนอเรชันน 8 ที่เปิดตัวมาในปี 1995 ซึ่งในเจเนอเรชันนนี้โตโยต้ามีตัวเลือกให้เลือกมากมายอย่าง ซีดาน 4 ประตู, แฮทช์แบ็ก 3 ประตู และ 5 ประตู ซึ่งทั้งหมดถูกปรับให้เครื่องยนต์มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในปี 2000 กับการอัปเดตครั้งใหม่ของ Toyota Corolla เจเนอเรชันนที่ 9 พร้อมกับการรีดีไซน์อีกครั้งเพื่อการเริ่มต้นสู่ยุคใหม่ โดยมีการปรับเปลี่ยนให้ตัวรถมีความใหญ่และกว้างขึ้น เครื่องยนต์ 1.3 1.5 และ 1.8 ลิตร ล้วนเป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาใหม่ ส่วนเกียร์ก็มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ โดยรุ่นนี้มาในรูปแบบซีดาน 4 ประตู และ 5 ประตู ซึ่งในปี 2000 นี้โตโยต้าก็ออกรุ่นที่ต่อยอดมานั่นคือ Corolla Altis ที่กลายเป็นรุ่นหลักรุ่นหนึ่งในตลาดรถของประเทศไทย
รุ่นปี 2013
เจเนอเรชันนที่ 10 ของ Toyota Corlla ในปี 2006 มีการเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศอย่างในยุโรปและญี่ปุ่นเองรุ่น Corolla แฮทช์แบ็กก็ถูกแทนที่ด้วยรุ่น Auris หรือ Toyota Blade ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนในรุ่นซีดานนั้นยังคงอยู่ในชื่อ Toyota Corolla เช่นเคย ซึ่งรุ่น Auris ภายหลังได้รับการปรับให้เป็นเครื่องยนต์ Hybrid เพื่อเพิ่มการประหยัดเชื้อเพลิง ส่วนรุ่น Blade นั้นถูกปรับให้มีเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น โดยมาในเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร กำลังสูงสุด 276 แรงม้า เรียกว่าเป็นหนึ่งใน Toyota Corolla ที่มีเครื่องแรงสุดๆ นอกจากนี้ในด้านฟังก์ชันการใช้งานภายในรถยังมีเพิ่มขึ้นอย่างการเชื่อมต่อ Bluetooth กล้องส่องหลังรถ เป็นต้น
ต่อมาในปี 2012 ช่วงที่ตลาดรถยนต์เริ่มให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์มากขึ้น Toyota Corolla ในเจเนอเรชันนที่ 11 จึงมีการปรับเปลี่ยนเป็นเลขรุ่น E170 ด้านดีไซน์ปรับเปลี่ยนให้ดูทันสมัยอย่างไฟที่มีความเหลี่ยม ดูโฉบเฉี่ยว จากเดิมที่ดูโค้งมน ด้านเครื่องยนต์ก็มีการปรับเพิ่มเครื่องยนต์แบบ Hybrid มาเพิ่มอีกหนึ่งตัวเลือกโดยจะมาพร้อมเกียร์ E-CVT ส่วนเครื่องยนต์อื่นก็มีทั้ง 1.2 ลิตร 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร
รุ่นปี 2019
เจเนอเรชันนปัจจุบันที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018 กับเจเนอเรชันน 12 ที่โตโยต้ายุบ Auris มารวมเป็น Toyota Corolla เช่นเคย โดยครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาต่อจากเจเนอเรชันน 11 โดยดีไซน์พัฒนาให้ดูมีความแข็งแกร่งและโฉบเฉี่ยว และรุ่นนี้ก็มีทั้งแฮทช์แบ็ก ซีดานและวากอน ด้านเครื่องยนต์ก็พัฒนารุ่น Hybrid ให้ดียิ่งขึ้น โดยจะเป้นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ส่วนเครื่องยนต์ธรรมดา 2.0 ลิตรก็สามารถให้กำลังสูงสุดได้ถึง 180 แรงม้าเลยทีเดียว
Toyota Corolla เปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ทุกเจเนอเรชัน
บทสรุป Toyota Corolla
ใครที่กำลังมองหารถยนต์ Toyota Corolla ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณมากที่สุด ลองให้ Kaidee เป็นหนึ่งในทางเลือกของคุณ จะมือหนึ่งมือสอง รุ่นไหน งบจำกัดเท่าไร ที่นี่ตอบโจทย์คุณได้ทุกความต้องการ คลิกเลย