และหากเปรียบเทียบรถยนต์รุ่น E-Class กับรุ่นอื่นจากค่ายเดียวกันอย่าง รุ่น A-Class และ รุ่น C-Class แล้ว รุ่น Mercedes-Benz E-Class ถือเป็นรถยนต์ที่ยกระดับทั้งความหรูหรา และประสิทธิภาพเครื่องยนต์จนได้รับฉายาว่าเป็นรถยนต์ประจำต่ำแหน่งผู้บริหารเลยก็ว่าได้
นี่เองทำให้ Mercedes Benz รุ่น E-Class เป็นรุ่นรถยนต์จากค่าย Mercedes Benz ที่ขายดีที่สุดของเบนซ์ ด้วยยอดขายสะสมมากกว่า 14 ล้านคัน นับตั้งแต่วันที่ถูกปล่อยตัวครั้งแรกเมื่อปี 1946 จนกระทั่งถึง Generation E-Class .oปัจจุบัน รวมกว่า 5 เจนเนอเรชั่น และเจนเนอเรชันเอง นั้นก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 และมาพร้อมกับรหัส W213 นั่นเอง
ที่ช่วยให้คุณสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยตลอดการเดินทาง เช่น ระบบช่วยนำรถเข้าจอดและระบบช่วยเบรกแบบแอ็คทีฟ ระบบ Pre-Safe พร้อมไฟหน้าแบบ Multibeam Led เป็นต้น
โดยเบาะที่นั่งของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าสามารถปรับได้ 4 ระดับ และปรับโค้งตามธรรมชาติของกระดูกสันหลังจึงช่วยให้สบายสูงสุดตลอดการเดินทาง
Mercedes Benz E-Class รุ่นใหม่ๆ นั้นมาพร้อมเทคโนโลยี Plug-in-Hybrid ที่ช่วยให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ปล่อยมลพิษและยังคงความคล่องตัวสูง
โดยมีราคาเริ่มต้น 3.299 ล้านบาท
เนื่องจากเป็นรถยุโรป ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงอะไหล่ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศจะต้องรอนานและราคาค่อนข้างแพง ดังนั้น ผู้ซื้อควรมีเงินสำรองสำหรับส่วนนี้ด้วย
สรุปราคามือสอง
สำหรับคนไหนที่กำลังอยากได้ Mercedes-Benz E-Class มาเป็นเจ้าของ แต่ยังไม่อยากจ่ายแบบเต็มๆ เราขอแนะนำอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับรถยนต์ Mercedes-Benz E-Class มือสองคุณภาพดี ในราคาประหยัดกว่าเคย ได้ที่ Kaidee Auto หมายเหตุ - *ราคาเริ่มต้น อ้างอิงจาก Kaidee Auto รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นปี 1993
Mercedes-Benz E-Class รหัส W124 ถือว่าเป็นรถในตำนานของเบนซ์ก็ว่าได้ โดยรูปลักษณ์ของรถเบนซ์ E-Class รุ่นดังกล่าวกลายเป็นเอกลักษณ์ความรุ่งโรจน์ก่อนยุคฟองสบู่แตกเลยทีเดียว ซึ่งรุ่น W124 นี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของชื่อ E-Class ที่ใช้กันจนถึงปัจจุบัน และยังรุ่นที่คนไทยต่างเรียกกันติดปากกว่า “โลงจำปา” อีกด้วย
Mercedes-Benz E-Class W124 ที่นำมาจำหน่ายในไทย มีรุ่นต่างๆ ดังนี้
Code A ได้แก่ 230E ที่เลือกใช้งานเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร 4 สูบเรียง แบบเกียร์ธรรมดา และ 300E ซึ่งใช้งานเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง และเป็นเกียร์อัตโนมัติ
Code B จะเพิ่มเข้ามาอีก 2 รุ่นจาก Code A ได้แก่ 280E ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 6 สูบเรียง และ 220E ที่ใช้เครื่องยนต์แบบหัวฉีดไฟฟ้ารหัส M111 เบนซิน 2.2 ลิตร 4 สูบเรียง
Code C จะมีการปรับดีไซน์ให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมีการปรับเลขรุ่นใหม่ ให้ตัว E มาอยู่ด้านหน้าแทน ได้แก่รุ่น E200, E220, E280, E320 เป็นต้น
สำหรับรุ่น W124 ที่ฮิต และยังถูกใช้เต็มท้องถนนบ้านเราจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ รุ่น MERCEDES-BENZ E220 W124 ซึ่งมาพร้อมกับเครื่อง 4 สูบ ขนาดความจุ 2,199 ซี.ซี. DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 278 นิวตัน-เมตร ที่ 3,700 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์ AUTO 4 สปีด และ รุ่น MERCEDES-BENZ E280 W124 ซึ่งเป็นเครื่อง 6 สูบบล็อคใหญ่ มีขนาดแรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 193 แรงม้า นั่นเอง
รุ่นปี 1996
Mecedez Benz E-Class รหัส W210 เป็นรถยนต์คันแรกของทางเบนซ์ที่มีไฟหน้าซีนอนทรงรีขนาดใหญ่สี่ดวง (รวมถึงไดนามิก) นอกจากนี้ รุ่น W210 ยังถือว่าเป็นรุ่นปฏิวัติในส่วนของดีไซน์รถเบนซ์ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะดีไซต์ในครั้งนี้ ไม่มีเค้าโครงเดิมจากรุ่น W124 เลย โดย W210 นั้น มีความยาวขึ้น 1.6 นิ้ว และ กว้างขึ้น 2.3 นิ้ว แถมยังมาพร้อมกับห้องโดยสารที่กว้างมากขึ้น แต่ยังคงถือว่าเป็นรถยนต์ขนาดระดับกลางอยู่
ในส่วนของเครื่องยนต์ เริ่มแรก W210 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 หัวสูบ รหัส M111 และ เครื่อง 6 สูบแถวเรียงรหัส M104 หลังจากนั้น ในปี 1988 เบนซ์ได้พัฒนารุ่น Facelift ขึ้น และเครื่องยนต์ 6 สูบ ก็ได้มีการเปลี่ยนจากแบบแถวเรียงเป็นแบบ V6 และใช้รหัสใหม่ว่า M112 ซึ่งให้กำลัง 164 กิโลวัตต์ 220 แรงม้า และแรงบิด 310 นิวตันเมตร และนี้ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ทาง Mercedes-Benz แนะนำเครื่องดีเซลหัวฉีดแบบ CDI มาใช้ในรถเก๋งอีกด้วย
รุ่นปี 2003
ในส่วนของดีไซน์ W211 มีการปรับปรุ่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีการผสมผสานระหว่างรถยุคคลาสสิกกับรถยุคโมเดิร์นได้อย่างลงตัว และได้มีการใช้ระบบเซนเซอร์และระบบคอมในรถแทบจะทุกจุด และยังเป็นเครื่องแรกของรุ่น E-Class ที่มีที่ปัดน้ำฝน 2 อัน
ในส่วนของเครื่องยนต์ มีขายในไทยทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
- E200 Kompressor ขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 184 แรงม้า
- E220 CDI ดีเซล ขนาด 2.1 ลิตร แรงม้า 168 แรงม้า
- E240 V6 ขนาด 2.6 ลิตร 177 แรงม้า
ต่อมาได้มีการพัฒนารุ่น Facelift ขึ้นในปี 2007 เพิ่มระบบแก๊ส NGV และเพิ่มระบบ Pre-Safe เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โฉม Facelift มีชื่อเล่นว่า "หน้าธนู" เนื่องจากความแหลมของส่วนหน้ารถที่มีมากกว่าตัว Pre-Facelift นั่นเอง
รุ่นปี 2010
Mercedes-Benz E-Class W212 ถูกเปิดตัวผ่านสื่อไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2012 ซึ่งเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของเบนซ์ที่ผ่านมา รุ่น W212 ถือเป็นรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่ ไฟหน้าคู่ที่เปลี่ยนมาเป็นไฟหน้าแบบเอกพจน์ (ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดรถยนต์ไฟหน้าคู่จากค่ายเบนซ์เลยทีเดียว) , เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุง, อุปกรณ์ที่มากขึ้น, และคุณสมบัติไฮเทคเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง
W212 มีตัวถังในเลือกถึง 4 ตัวถังด้วยกัน ได้แก่ 4 ประตู saloon, 5 ประตู estate, 2 ประตู coupe, และ 2 ประตู cabriolet แบบเปิดประทุน
โดยมีรุ่นย่อยที่ขายในไทยโฉม Facelift ได้แก่
-
E200 Edition E เทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตรให้กำลัง 181 แรงม้า (135 กิโลวัตต์) หรือ 208 แรงม้า (155 กิโลวัตต์)
-
E300 Bluetec Hybrid Exclusive ดีเซล แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2,143 ซีซี พละกำลังอยู่ที่ 204 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า 27 แรงม้า ที่ 1,600-1,800 รอบ/นาที แรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 280 นิวตันเมตร
-
E300 Bluetec Hybrid AMG Dynamic ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส OM 651 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,143 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) หรือ 150 กิโลวัตต์ ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที
รุ่นปี 2017
Mercedes-Benz ได้กลับมาตามคำเรียกร้องกับรถยนต์ E-Class รุ่นใหม่ W213 Facelift (E 220d / E 300e) และมีจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่น ด้วยกัน ดังนี้
-
Mercedes-Benz E 300 e Avantgarde
-
Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport
-
Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่น E-Class ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 3 ทาง ได้แก่ เบนซิน ดีเซล และ Plug-in Hybrid รวม 7 แบบ ไล่ตั้งแต่ 4 – 6 สูบ
เครื่องยนต์เบนซินผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชันที่ 3 แถวเรียง 4 หัวสูบ ขนาด 1,991 ซีซี มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 211 แรงม้า
เครื่องยนต์ดีเซลพลังแรง 4 หัวสูบ ขนาด 1,950 ซีซี มีพละกำลัง 194 แรงม้า พร้อมระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐาน EURO6 4 ซึ่งช่วยประหยัดน้ำมันได้มากถึง 6.5%
อย่างไรก็ตาม นอกจาก Mercedes-Benz The new E-Class Saloon 4 ประตู ทั้ง 3 รุ่น ที่กล่าวมาข้างต้น เบนซ์ยังมีทางเลือกตัวถังให้เลือกอีก 2 ตัวถัง ได้แก่ Coupé 2 ประตู และ Cabriolet (เปิดประทุน) ดังนี้
-
Mercedes-Benz E 200 Coupé AMG Dynamic
-
Mercedes-Benz E 200 Cabriolet AMG Dynamic
Mercedes-Benz E-Class เปรียบเทียบสเปคเครื่องยนต์ทุกเจเนอเรชัน
บทสรุป Mercedes-Benz E-Class
คำว่า E-Classถูกย่อมาจากคำว่า ‘Einspritzung-Class’ ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า ‘รถยนต์เครื่องหัวฉีด’ ดังนั้นแม้ E-Class ในปัจจุบันจะได้รับฉายาว่าเป็นรถยนต์ต่ำแหน่งผู้บริหาร แต่ไม่ใช่แค่ความหรูหรา แต่กลับเป็นเทคโนโลยี สมถรรนะ และดีไซน์ที่พัฒนารุ่นต่อรุ่นอย่างไม่หยุดยั้งต่างหาก ที่ทำให้ E-Class เป็นรุ่นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดของค่ายเบนซ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หากนับตั้งแต่รุ่น W124 รถ Mercedes Benz E-Class ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นเจนเนอร์ชันที่ 5 แล้ว แน่นอนว่ารุ่นที่ 5 W213 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนๆ อย่างได้ชัด จุดที่เด่นที่สุดนั้น คือการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า อย่างการปรับมาในการใช้ไฟเดี่ยวแทนไฟหน้าคู่ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่รุ่น W212 จนเรื่อยมาถึงปัจจุบัน และได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของรถ Mercedes Benz E-Class นั่นเอง
และไม่ว่าจะเป็น E-Class รุ่นไหน หรือ ตัวถังแบบใด จะ Saloon Coupé หรือจะรุ่นท็อปอย่าง Cabriolet เปิดประทุน ที่ Kaidee Auto เรามีให้เลือกมากมาย